“เครื่องตอกบัตร” ถือเป็นเครื่องมือดั้งเดิมที่องค์กรส่วนใหญ่คุ้นเคยและใช้งานกันมานาน ซึ่งในปี 2025 นี้ ก็มีเทคโนโลยีหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่เครื่องตอกบัตรแบบดั้งเดิม ไปจนถึงเครื่องสแกนลายนิ้วมือและใบหน้าที่มีฟังก์ชันทันสมัยมากขึ้น
แต่ในยุคที่การทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบ Hybrid Working, Work From Home หรือการมีพนักงานปฏิบัติงานนอกสถานที่ การพึ่งพาเครื่องตอกบัตรแบบเดิมๆ อาจมีข้อจำกัดบางอย่าง บทความนี้จะพาคุณไปดู 10 เครื่องตอกบัตรยอดนิยมในปี 2025 พร้อมแหล่งและเสนอ ทางเลือกใหม่ ที่อาจช่วยให้การบริหารจัดการเวลาง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสำหรับองค์กรของคุณ
10 อันดับ เครื่องตอกบัตร ประจำปี 2025
เราได้รวบรวมเครื่องบันทึกเวลาทำงานหลากหลายประเภทที่นิยมใช้กันจริงในองค์กรต่างๆ พร้อมข้อมูลเบื้องต้นให้คุณได้ลองศึกษาดูนะคะ
1. ZKTeco LX50
- ประเภท: เครื่องสแกนลายนิ้วมือ
- จุดเด่น: รุ่นยอดนิยม ราคาเข้าถึงง่าย จอสี ตั้งค่าง่ายผ่านตัวเครื่อง บันทึก 500 ลายนิ้วมือ / 50,000 รายการ
- ข้อดี: เหมาะสำหรับธุรกิจ SME ที่เริ่มต้นใช้งาน ราคาไม่แพง ใช้งานฟังก์ชันพื้นฐานครบ
- ข้อควรพิจารณา: ส่วนใหญ่มักดึงข้อมูลผ่าน USB Flash Drive ซึ่งอาจไม่สะดวกหากต้องการข้อมูล Real-time หรือมีหลายสาขา ต้องติดตั้งประจำที่
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียด/ราคาได้บน Shopee และ Lazada (สามารถค้นหารุ่นนี้ได้ตามร้านค้าไอทีและออนไลน์ชั้นนำ)
2. HIP CMI688
- ประเภท: เครื่องสแกนลายนิ้วมือ
- จุดเด่น: รองรับลายนิ้วมือจำนวนมาก (หลักพัน), บันทึกข้อมูลได้เยอะ (160,000 รายการ), สแกนเร็ว, เมนูภาษาไทย
- ข้อดี: เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีพนักงานจำนวนมาก หัวอ่านกระจกทนทาน
- ข้อควรพิจารณา: ต้องติดตั้งและเดินสาย LAN (หากต้องการเชื่อมต่อเครือข่าย), ต้องบำรุงรักษาหัวอ่าน, ยังคงมีปัญหาคอขวดหากคนใช้พร้อมกันเยอะๆ
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียด/ราคาได้บน Shopee และ Lazada (สามารถค้นหารุ่นนี้ได้ตามร้านค้าไอทีและออนไลน์ชั้นนำ)
3. ZKTeco MB10-VL
- ประเภท: เครื่องสแกนใบหน้า + ลายนิ้วมือ (Visible Light)
- จุดเด่น: เทคโนโลยี Visible Light ช่วยให้สแกนใบหน้าได้เร็วและแม้ในที่แสงน้อย, รองรับทั้งใบหน้าและลายนิ้วมือ
- ข้อดี: เพิ่มทางเลือกในการยืนยันตัวตน, ลดการสัมผัส (ถ้าใช้สแกนหน้า)
- ข้อควรพิจารณา: ราคาสูงกว่ารุ่นสแกนนิ้วอย่างเดียว, การสแกนหน้าอาจมีข้อจำกัดเรื่องมุมกล้อง ระยะห่าง หรือการใส่หน้ากากอนามัย (แม้จะพัฒนาขึ้น), ต้องติดตั้งประจำที่
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียด/ราคาได้บน Shopee (สามารถค้นหารุ่นนี้ได้ตามร้านค้าไอทีและออนไลน์ชั้นนำ)
4. Office Pro FC202
- ประเภท: เครื่องสแกนใบหน้า + ลายนิ้วมือ + บัตร
- จุดเด่น: รองรับการยืนยันตัวตนหลากหลายรูปแบบในเครื่องเดียว (หน้า, นิ้ว, บัตร), มีซอฟต์แวร์จัดการให้
- ข้อดี: ยืดหยุ่นสูงมาก พนักงานเลือกวิธีที่สะดวกได้
- ข้อควรพิจารณา: การตั้งค่าอาจซับซ้อนกว่ารุ่นที่รองรับน้อยกว่า, ราคาสูง, ยังคงต้องติดตั้งและมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียด/ราคาได้ที่ Officemate หรือ Shopee
5. Neocal NF-10
- ประเภท: เครื่องสแกนใบหน้า + ลายนิ้วมือ
- จุดเด่น: มีเสียงตอบรับภาษาไทย, ทำงานร่วมกับระบบควบคุมประตูได้ (Access Control)
- ข้อดี: ใช้งานง่ายสำหรับคนไทย, รองรับฟังก์ชันเสริมเรื่องความปลอดภัยประตู
- ข้อควรพิจารณา: เช่นเดียวกับเครื่อง Biometric อื่นๆ คือต้องติดตั้ง, บำรุงรักษา, และอาจไม่เหมาะกับ WFH/นอกสถานที่
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ NeocalThailand หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่าย
6. ZKTeco EFace-10 (รุ่นมี WiFi + แจ้งเตือน LINE)
- ประเภท: เครื่องสแกนใบหน้า (บางรุ่นมี WiFi และฟังก์ชันแจ้งเตือน LINE)
- จุดเด่น: รุ่นใหม่ๆ มี WiFi ทำให้ติดตั้งง่ายขึ้น, บางตัวแทนจำหน่ายมีโซลูชันเสริมให้แจ้งเตือนเข้า LINE ได้เมื่อมีการสแกน
- ข้อดี: สะดวกในการติดตั้ง (WiFi), การแจ้งเตือน LINE ช่วยให้ทราบข้อมูลเข้า-ออกได้เร็วขึ้น
- ข้อควรพิจารณา: ฟังก์ชันแจ้งเตือน LINE มักเป็นบริการเสริมจากตัวแทนจำหน่าย อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือต้องเปิดคอมพิวเตอร์ไว้ (สำหรับบางระบบ), ยังแก้ปัญหาเรื่องการลงเวลานอกสถานที่ไม่ได้
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียดรุ่นที่มี WiFi/LINE ได้บน Shopee หรือสอบถามตัวแทนจำหน่าย ZKTeco
7. Hikvision DS-K1T8003MF
- ประเภท: เครื่องสแกนลายนิ้วมือ + บัตร Mifare
- จุดเด่น: แบรนด์ Hikvision เป็นที่รู้จักด้านความปลอดภัย, รองรับทั้งนิ้วและบัตร Mifare
- ข้อดี: คุณภาพน่าเชื่อถือจากแบรนด์ใหญ่, มีตัวเลือกบัตร Mifare ที่ปลอดภัยกว่า Proximity ทั่วไป
- ข้อควรพิจารณา: ข้อจำกัดเหมือนเครื่องสแกนนิ้ว/บัตรทั่วไป (ติดตั้ง, บำรุงรักษา, คอขวด)
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียด/ราคาได้บน Shopee และ Lazada (สามารถค้นหารุ่นนี้ได้ตามร้านค้าไอทีและออนไลน์ชั้นนำ)
8. HIP Ci690S
- ประเภท: เครื่องสแกนลายนิ้วมือ + บัตร + รหัสผ่าน (รองรับ Access Control)
- จุดเด่น: เป็นรุ่นที่นิยมใช้ควบคุมประตูด้วย, รองรับหลายรูปแบบยืนยันตัวตน
- ข้อดี: ครบเครื่องทั้งบันทึกเวลาและควบคุมประตูในตัวเดียว
- ข้อควรพิจารณา: การตั้งค่า Access Control อาจซับซ้อน, ข้อจำกัดด้านการบันทึกเวลาเหมือนรุ่นอื่นๆ
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูรายละเอียด/ราคาได้บน Shopee (สามารถค้นหารุ่นนี้ได้ตามร้านค้าไอทีและออนไลน์ชั้นนำ)
9. ZKTeco Thai01
- ประเภท: เครื่องสแกนลายนิ้วมือ
- จุดเด่น: ออกแบบมาเน้นใช้งานง่าย เมนูภาษาไทย ราคาไม่แพง
- ข้อดี: เหมาะกับองค์กรที่ต้องการฟังก์ชันพื้นฐาน เน้นความคุ้มค่า
- ข้อควรพิจารณา: มักใช้ USB ในการดึงข้อมูล, ต้องติดตั้งประจำที่
- แหล่งข้อมูล/ราคา: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตัวแทนจำหน่าย ZKTeco
10. เครื่องตอกบัตรแบบดั้งเดิม (เช่น Olympia, OfficePro)
- ประเภท: ใช้บัตรกระดาษตอกเวลา
- จุดเด่น: คุ้นเคย ใช้งานง่ายสำหรับคนที่ไม่ถนัดเทคโนโลยีเลย
- ข้อดี: ราคาเครื่องเริ่มต้นอาจไม่สูงมาก (แต่มีค่าบัตร, ค่าหมึก)
- ข้อควรพิจารณา: เสี่ยงต่อการตอกบัตรแทนกันสูงมาก, HR ต้องนำบัตรมาคีย์ข้อมูลลงระบบเองทั้งหมด (เสียเวลาและเสี่ยงผิดพลาด), มีค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง (บัตร, ผ้าหมึก), เสียงดัง, ต้องตั้งเวลาเครื่องให้ตรงเสมอ
- แหล่งข้อมูล/ราคา: ดูตัวอย่างเครื่องตอกบัตรแบบดั้งเดิมได้บน Shopee หรือ Officemate
ข้อจำกัดและความท้าทายของการใช้เครื่องตอกบัตร (แม้เป็นรุ่นใหม่)
จากทั้ง 10 รุ่นที่เราได้แนะนำไป จะเห็นว่ามีเทคโนโลยีหลากหลายให้เลือก แต่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน เครื่องตอกบัตรแบบติดตั้งประจำที่ก็ยังคงมีความท้าทายร่วมกันอยู่ดีค่ะ:
- ต้นทุนแฝง: นอกจากค่าเครื่อง ยังมีค่าติดตั้ง, ค่าบำรุงรักษา, ค่า Network (ถ้าต่อ LAN), ค่าบัตร/หมึก (สำหรับบางรุ่น)
- ความยุ่งยากในการจัดการข้อมูล: การดึงข้อมูลที่อาจไม่ Real-time, ต้องนำเข้าสู่ระบบ Payroll ซึ่งอาจเสียเวลาและเกิดข้อผิดพลาด
- ไม่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่: ไม่รองรับพนักงานที่ WFH หรือทำงานนอกสถานที่ได้อย่างสะดวก
- ปัญหาคอขวดและสุขอนามัย: การรอคิวสแกน และความกังวลเรื่องการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกัน
- ภาระงาน HR: การจัดการข้อมูลเครื่อง, การเพิ่ม/ลบ พนักงานที่อาจต้องทำที่ตัวเครื่อง, การตอกบัตรแทนกัน
แล้วจะมีทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างแท้จริงในยุค 2025 นี้หรือไม่?
ขอแนะนำ onedee.ai: ทางเลือกใหม่ของการบันทึกเวลาที่ตอบโจทย์กว่า
คำตอบคือ “มีแน่นอนค่ะ” เราขอแนะนำ onedee.ai แอปพลิเคชันบันทึกเวลาทำงานผ่านมือถือ โซลูชันยุคใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาและความท้าทายของการใช้เครื่องตอกบัตรแบบเดิมๆ โดยเฉพาะ ลองมาดูกันว่า onedee.ai ช่วยองค์กรของคุณได้อย่างไร:
- สะดวกสบายขั้นสุด: พนักงานใช้สมาร์ทโฟนของตัวเอง (iOS/Android) ในการบันทึกเวลาเข้า-ออกงานได้ทันที ไม่ต้องเดินไปที่เครื่อง ไม่ต้องต่อคิว
- ลดต้นทุน: ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องตอกบัตรราคาแพง ไม่ต้องเสียค่าติดตั้งและค่าบำรุงรักษา
- ยืดหยุ่น รองรับทุกรูปแบบการทำงาน:
- ในออฟฟิศ: กำหนดให้เช็คอินได้เฉพาะเมื่อเชื่อมต่อ WiFi ออฟฟิศ หรืออยู่ในพิกัด GPS ที่กำหนด
- นอกสถานที่/ไซต์งาน: เช็คอินพร้อมระบุตำแหน่ง GPS จริง ป้องกันการลงเวลาจากที่อื่น
- Work From Home: เช็คอินจากที่บ้านได้ตามนโยบายบริษัท
- ข้อมูล Real-time: HR และผู้บริหารสามารถดูข้อมูลการลงเวลาของพนักงานได้ทันทีผ่าน Dashboard ออนไลน์ ไม่ต้องรอดึงข้อมูล
- แม่นยำและโปร่งใส: ระบุพิกัด GPS ทุกครั้งที่ลงเวลา (สำหรับนอกออฟฟิศ), มีระบบป้องกันการลงเวลาแทนกันด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของแอป
- จัดการง่าย: เพิ่ม/ลบ/แก้ไขข้อมูลพนักงาน, จัดการกะ, ตั้งค่านโยบายต่างๆ ได้ง่ายๆ ผ่านระบบ Cloud
- ฟังก์ชัน HR ครบวงจร: ไม่ใช่แค่บันทึกเวลา แต่ยังรองรับการยื่นใบลา, ขอ OT, ดูสลิปเงินเดือน (หากเชื่อมต่อระบบ Payroll), ประกาศข่าวสารภายในองค์กร และอื่นๆ อีกมากมายในแอปเดียว
- รายงานอัตโนมัติ: ระบบสร้างรายงานสรุปเวลาทำงาน ขาด ลา มาสาย OT ให้อัตโนมัติ ลดงานเอกสารของ HR ได้มหาศาล
บทสรุป: เลือกสิ่งที่ใช่สำหรับองค์กรของคุณ
การเลือกใช้เครื่องมือบันทึกเวลาทำงานที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ ขนาดองค์กร รูปแบบการทำงานของพนักงาน และงบประมาณ เครื่องตอกบัตรแบบดั้งเดิมหรือแบบ Biometric (ดังที่แนะนำไป 10 รุ่น) ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้ดีสำหรับบางองค์กร โดยเฉพาะที่ที่มีสถานที่ทำงานแน่นอนและพนักงานส่วนใหญ่อยู่ประจำ
อย่างไรก็ตาม สำหรับองค์กรยุคใหม่ในปี 2025 ที่มองหาความคล่องตัว ลดต้นทุน ต้องการข้อมูลที่รวดเร็วทันท่วงที และต้องการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่พนักงาน แอปพลิเคชันบันทึกเวลาทำงานอย่าง onedee.ai ถือเป็นทางเลือกที่ทันสมัยและตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม ช่วยให้ฝ่าย HR ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปตอกบัตรจาก OneDee หรือ ทดลองใช้แอปแทนเครื่องตอกบัตรฟรี!